ซีรีส์ The Walking Dead ดำเนินมาถึงซีซันที่ 11 และกำลังเผชิญกับกระแสความนิยมที่ลดลงจากปัญหาเรื่องแนวคิดที่ซ้ำซาก เพื่อรักษาแฟรนไชส์ ทางผู้สร้างจึงพยายามสร้างภาคแยกใหม่ๆ ที่เน้นตัวละครยอดนิยม เช่น Daryl Dixon, The Ones Who Live และ Dead City ซึ่งแต่ละเรื่องได้รับความนิยมในระดับที่แตกต่างกัน
ใน Daryl Dixon ตัวละครดาริล (รับบทโดย Norman Reedus) ถูกส่งไปยังฝรั่งเศสและเรื่องราวถูกขยายออกไปสู่โลกที่แปลกใหม่ พร้อมการเพิ่มตัวละครคาโรล (Melissa McBride) เข้ามาเสริมทัพ เนื้อหาของซีรีย์นี้มีการนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ เช่น วอล์กเกอร์ที่กลายพันธุ์ และสภาพแวดล้อมที่แปลกตา ซึ่งแตกต่างจากแนวเดิมของแฟรนไชส์ และกำลังเตรียมเข้าสู่ซีซันที่สามซึ่งอาจเกิดขึ้นในประเทศสเปน
ในทางกลับกัน Dead City ซีซัน 2 / The Walking Dead: Dead City กลับมาเน้นที่ Negan (Jeffrey Dean Morgan) และ Maggie (Lauren Cohan) ที่ต้องเผชิญกับกลุ่มต่างๆ ในเกาะแมนฮัตตัน โดยมีการเพิ่มตัวร้ายอย่าง Bruegel ซึ่งมีลักษณะคล้าย “ผู้ว่าการ” (Governor) จากซีซันก่อนๆ ทั้งในแง่บุคลิกและแนวทางการปกครอง เช่น การสร้างสนามประลองวอล์กเกอร์ หรือการเลี้ยง “สัตว์เลี้ยง” ที่มีอดีตส่วนตัวร่วมกับตนเอง ลักษณะเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการนำแนวคิดเก่ากลับมาใช้ซ้ำอีกครั้ง
แม้จะมีความพยายามในการเพิ่มเดิมพัน เช่น การแย่งชิงก๊าซมีเทนเพื่อพัฒนาโลกหลังหายนะ แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความรู้สึกใหม่ให้กับผู้ชมได้ ความรู้สึกซ้ำซากชัดเจนจนตัวละครเฮอร์เชลยังตั้งคำถามว่าทำไมต้องยึดครองโลกเก่ากลับมา
The Ones Who Live ก็ใช้แนวคิดแบบเดียวกัน โดยอาศัยความคิดถึงในตัวละคร Rick และ Michonne มากกว่าการเล่าเรื่องที่มีแก่นสาร กลายเป็นบริการแฟนๆ มากกว่าการสร้างสรรค์เนื้อหาใหม่
เมื่อเปรียบเทียบแล้ว Daryl Dixon เป็นภาคแยกเดียวที่กล้าแตกต่าง ทั้งในแง่ฉากหลัง ตัวละครรอง และความคิดสร้างสรรค์ เช่น แก๊งเด็กนักฆ่า แม่ชีสุดโหด และวอล์กเกอร์กลายพันธุ์ที่หลอนประสาท พร้อมทิศทางชัดเจนในการขยายโลกของเรื่องราว ทำให้กลายเป็นภาคแยกเดียวที่มีพัฒนาการและได้รับความนิยมต่อเนื่อง
ในขณะที่ Dead City และ The Ones Who Live ยังคงพึ่งพาความนิยมของตัวละครหลักและแนวคิดซ้ำเดิม หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางหรือเพิ่มแนวคิดใหม่ๆ เข้ามา ก็อาจกลายเป็นเพียงแค่เครื่องมือทางการตลาดแทนที่จะเป็นผลงานที่มีคุณค่าเชิงเนื้อหาอย่างแท้จริง